Sitemap

มันจะดีแค่ไหน ถ้าเราทุกคนมีหมอประจำตัว ?

4 min readFeb 16, 2022
Press enter or click to view image in full size

เมื่อยามเจ็บป่วย เชื่อว่าหลายคนเลือกไปโรงพยาบาลเพื่อรอพบแพทย์เฉพาะทาง แต่บางคนอาจประสบปัญหา ป่วยหลายอาการ ทำให้ต้องรอพบแพทย์เฉพาะทางหลายด้าน หรือบางคนกลับมารักษาอาการเดิมแต่พบหมอคนใหม่ ทำให้ต้องเริ่มซักประวัติ ตรวจร่างกายซ้ำ และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถปรึกษาเรื่องสุขภาพได้สะดวก ครอบคลุม ต่อเนื่อง คล้ายกับการมี ‘หมอประจำตัว’ ที่คอยให้คำแนะนำทั้งอาการเจ็บป่วยไปจนถึงความรู้ด้านสุขภาพ เพื่อ ‘ป้องกัน’ ไม่ให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ แทนการรอให้เจ็บป่วยรุนแรงแล้วไปโรงพยาบาล ซึ่งระบบที่เหมือนมี ‘หมอประจำตัว’ นี้เรียกว่า ‘ระบบบริการปฐมภูมิ’ หรือ ‘Primary Care’

Primary Care กับการดูแลให้เหมือนมี ‘หมอประจำตัว’

คอนเซปต์ของ primary care คือบริการสุขภาพที่ใกล้ตัวมากที่สุด สามารถดูแลได้อย่างต่อเนื่อง ดูแลครบทุกมิติทั้งการส่งเสริม ป้องกัน รักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นการจัดการในโรงพยาบาลเท่านั้น และยังสามารถประสานส่งต่อโรงพยาบาลในระดับต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น

หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คงเป็นการไปหาหมอ พยาบาล หรือการไปปรึกษาปัญหาสุขภาพกับเจ้าหน้าที่ใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นจะทำหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ และคุ้นเคยกันกับผู้รับบริการสามารถจดจำประวัติการรักษาของคนไข้ได้ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง จึงช่วยประหยัดเวลาในการรักษาและสามารถให้คำแนะนำได้อย่างต่อเนื่อง หากมีจุดไหนที่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทางเพิ่มเติม จึงจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอหรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดตามความเหมาะสม

Press enter or click to view image in full size

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือคนไข้จำนวนมากตัดสินใจไปโรงพยาบาลใหญ่เป็นลำดับแรก ทั้งที่บางอาการไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง กลายเป็นภาพการต่อคิวยาวในโรงพยาบาลและจำนวนหมอที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนไข้

ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นที่มาของโปรเจกต์ พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary Care) และโครงการพัฒนาผู้ประสานการออกแบบบริการสุขภาพ ปฐมภูมิ (ผอบ.) โดย ‘นพ.มูหาหมัดอาลี กระโด’ หรือ ‘หมออาลี’ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน และแพทย์ที่บุกเบิกงานด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ประจำโรงพยาบาลยะรัง จังหวัดปัตตานี

คอนเซปต์ของ primary care คือบริการสุขภาพที่ใกล้ตัวมากที่สุด สามารถดูแลได้อย่างต่อเนื่อง ดูแลครบทุกมิติทั้งการส่งเสริม ป้องกัน รักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพด้านต่าง ๆ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นการจัดการในโรงพยาบาลเท่านั้น และยังสามารถประสานส่งต่อโรงพยาบาลในระดับต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็น

หากยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คงเป็นการไปหาหมอ พยาบาล หรือการไปปรึกษาปัญหาสุขภาพกับเจ้าหน้าที่ใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นจะทำหน้าที่ดูแลประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ และคุ้นเคยกันกับผู้รับบริการสามารถจดจำประวัติการรักษาของคนไข้ได้ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง จึงช่วยประหยัดเวลาในการรักษาและสามารถให้คำแนะนำได้อย่างต่อเนื่อง หากมีจุดไหนที่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทางเพิ่มเติม จึงจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลประจำอำเภอหรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดตามความเหมาะสม

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือคนไข้จำนวนมากตัดสินใจไปโรงพยาบาลใหญ่เป็นลำดับแรก ทั้งที่บางอาการไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทาง กลายเป็นภาพการต่อคิวยาวในโรงพยาบาลและจำนวนหมอที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนไข้

ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นที่มาของโปรเจกต์ พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary Care) และโครงการพัฒนาผู้ประสานการออกแบบบริการสุขภาพ ปฐมภูมิ (ผอบ.) โดย ‘นพ.มูหาหมัดอาลี กระโด’ หรือ ‘หมออาลี’ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน และแพทย์ที่บุกเบิกงานด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ประจำโรงพยาบาลยะรัง จังหวัดปัตตานี

รากของปัญหา คือความเชื่อมั่น

เมื่อหมออาลีค้นไปยังต้นตอของปัญหาจึงพบว่า หนึ่งในสาเหตุที่ผู้คนข้ามไปรักษาในโรงพยาบาลทันที เป็นเพราะ ‘ความเชื่อมั่น’ ที่ขาดหายไปใน primary care

“ผมโตมากับสถานีอนามัย พ่อผมเป็นหมออนามัย (ปัจจุบันเรียกว่า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล : รพ.สต.) ผมเลยมีโอกาสได้เห็นว่าคุณพ่อดูแลคนไข้ยังไง อย่างคนไข้จากชุมชนละแวกบ้านปวดท้องมานอกเวลาราชการ คุณพ่อต้องประเมินให้ได้ว่า มีความเสี่ยงหรือมีภาวะที่อาจจะเกิดอันตรายหรือไม่ เช่น ปวดท้องที่สงสัยไส้ติ่งอักเสบ คุณพ่อต้องตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดของการทำงานในยุคที่หลายอำเภอยังไม่มีโรงพยาบาลประจำอำเภอ การเดินทางไปยังโรงพยาบาลจังหวัด ค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านยังไม่มีรถส่วนตัวเหมือนเช่นปัจจุบันนี้

ภาพหมออนามัยแบบนี้น่าจะเป็นตัวแทนของ primary care หมายถึงในมิติของวิธีการทำงานนะ เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้คนไข้มากที่สุด คนไข้เข้าถึงได้ง่าย เขาก็ต้องมีความสามารถที่พอจะดูแลคนไข้ได้ ณ เวลานั้น ที่สำคัญคือความไว้วางใจจากคนไข้และชุมชนต่อตัวหมออนามัย ซึ่งจะส่งผลต่อการยอมรับระบบบริการปฐมภูมิ ตามไปด้วย”

“ปัจจุบันสิ่งที่เราขาดหายไปคือความไว้วางใจตรงนี้แหละครับ เหมือนตอนนี้เราเจ็บป่วยอะไรเราก็จะไปโรงพยาบาล เราแทบจะข้ามสถานีอนามัยไปเยอะพอสมควร แต่ถามว่าทุกโรคจำเป็นต้องเจอแพทย์ที่โรงพยาบาลไหม เช่น ปวดเมื่อยตามตัว, ท้องเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเกิดแผลขนาดเล็ก ตามทฤษฎีและวิธีปฏิบัติตัวควรเริ่มจากการดูแลตนเอง รักษาดูแลติดตามอาการ ร่วมกับใช้ยาสามัญประจำบ้านก็สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ต้องไปพบแพทย์เลย หรือแม้แต่โรคเรื้อรัง ปัจจุบันนี้ ผู้ป่วยหลายรายที่ควบคุมอาการได้ดี ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็สามารถรับการดูแลต่อเนื่องที่ รพ.สต.ได้ โดยพยาบาลประจำ รพ.สต. ได้รับการพัฒนาความรู้และทักษะให้พร้อมดูแลกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้และสามารถปรึกษาแพทย์ผ่านทาง telemedicine ได้ ถ้ามีข้อสงสัยใด ๆ ระหว่างการดูแล…. แต่ก็ยังพบผู้ป่วยอีกส่วนหนึ่ง เลือกไปรับบริการที่โรงพยาบาลแทน ซึ่งจะต้องรอนานกว่า คิวเยอะกว่า แม้กระบวนการดูแลไม่ต่างกันก็ตาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนความเชื่อมั่น ความเชื่อถือและไว้วางใจ อย่างที่เล่าไปข้างต้นเช่นกัน”

“เมื่อมีโอกาสได้ทบทวนถึงปัญหาที่เคยเห็นตั้งแต่วัยเด็ก ได้รับรู้ประสบการณ์จากคุณพ่อ รวมถึงการสัมผัสปัญหาจริงด้วยตนเองช่วง 10 ปีแรกของการทำงานในฐานะแพทย์ของชุมชน หมออาลีจึงตัดสินใจชวนทีมทำงานที่ขับเคลื่อนการแก้ปัญหามาด้วยกัน มาทำหนังสือ ‘Primary We Care คนปฐมภูมิหัวใจเพชร เวชศาสตร์ครอบครัว อ.ยะรัง จ.ปัตตานี’ ร่วมกัน เมื่อปีพ.ศ. 2560 เพื่อสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจและเห็นความสำคัญของ primary care มากขึ้น ซึ่งการทำหนังสือครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาเห็นปัญหาอีกหลายด้านของ primary care ในประเทศไทย

Press enter or click to view image in full size

“เราดูแลในโรงพยาบาลแล้วมันไม่จบ คนไข้ก็ยังขาดการกินยาต่อเนื่องบ้าง ขาดคนดูแลบ้าง พอไปเยี่ยมบ้าน ก็พบว่ามีปัญหาซับซ้อนกว่าที่เห็น บางทีเป็นเรื่องของอาชีพ ของญาติ กว่าจะแก้ได้หนึ่งเคสก็ครึ่งปี บุคลากรหลายคนก็คงไม่เอาด้วย เพราะ productivity มันเทียบไม่ได้กับการตรวจแต่ละวันที่โรงพยาบาล เราไปข้างนอกบางทีครึ่งวันได้ 2–3เคส แต่ว่านั่นคือคุณภาพชีวิตสำหรับคนไข้และครอบครัว ซึ่งในช่วงแรก เราก็ต้องจัดสรรเวลาให้ยังสามารถรับผิดชอบภารกิจหลักในโรงพยาบาลไปด้วย จนกว่าผลลัพธ์จะเริ่มจับต้องได้มากขึ้น พอถึงวันนั้น เราก็จะมีโอกาสได้ทำงานด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเลือกทางเส้นนั้นแล้ว ถ้าดูแลดี ๆ คนไข้ก็จะไม่กลับมาโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นอีก เราก็ดูแลคนอื่นต่อได้ ค่อย ๆ สร้างฐานความเชื่อมั่นไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันก็ลดการใช้ทรัพยากรของโรงพยาบาลในทางอ้อมอีกด้วย แต่บางโรคมันต้องมาจริง รักษาจริง อย่างอุบัติเหตุอะไรอย่างนี้”

เริ่มจากบุคลากร ก่อนผลักดันระบบ

หลังจากทำหนังสือ หมออาลีเริ่มอยากจะขยับมาลงมือทำโปรเจกต์อื่น ๆ ที่ช่วยผลักดันเรื่อง primary care มากขึ้น เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Positive Health Disruptor ด้วยความตั้งใจอยากจะเรียก ‘ความเชื่อมั่น’ คืนกลับมายังบุคลากรใน primary care อีกครั้ง ทว่าการปรับโครงสร้างของระบบสาธารณสุข หรือเพิ่มเนื้อหาในหลักสูตรการแพทย์ คงจะเป็นเรื่องที่เกินกำลังและเกิดขึ้นได้ยากในอนาคตอันใกล้

Press enter or click to view image in full size

“ถ้างั้นเอาคนที่มีอยู่แล้วในระบบมาทำให้เขามีพลังมากขึ้น ทำให้เขามีทักษะในการประสานงานและการออกแบบ เพราะสิ่งที่คนข้างล่างทำตอนนี้คือทำตามข้างบนเสียส่วนใหญ่ บางอย่างเขารู้ แต่ไม่มีโอกาสได้ออกแบบวิธีแก้ปัญหาที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริงเขาจะไปต่อรอง ประสานงาน เขาก็ไม่มีโอกาสพัฒนาทักษะนั้นและยังขาดพื้นที่แห่งการรับฟังอย่างจริงจัง”

“ผมเชื่อว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคน มีความดีในตัวและตั้งใจดีที่จะช่วยดูแลคนในชุมชน แต่คนหน้างาน primary care อาจเหนื่อยล้า จากงานมาตลอดหลายปี อีกทั้งสถานการณ์โรคระบาด covid-19 ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ไม่ได้มีโอกาสคิดออกแบบงานด้วยตนเองเลย ต้องทำงานตามแนวทางที่ถูกสั่งการลงมาเป็นทอด ๆ ทั้งที่พวกเขามีสิทธิ์ที่จะคิดแก้ปัญหางานต่าง ๆ ด้วยตนเอง

“ผมเลยพยายามหาวิธีกระตุ้นพลังบวกให้กลุ่มคนหน้างาน primary care ได้เห็นความสำคัญของงานที่พวกเขาได้ทำมาตลอดการยืนอยู่ท่ามกลางชุมชนภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ จนได้วิธีกระตุ้นพลังบวกด้วยการเรียนรู้และฝึกทักษะการเขียนสะท้อนย้อนคิด รวมถึงหลักสูตร “เขียน เปลี่ยน ชีวิต” และอีกหลายกิจกรรมของ อ.วรเชษฐ เขียวจันทร์ บริษัทปิ่นโตครีเอชั่น จนกลุ่มคนเหล่านี้ลุกขึ้นมาอย่างมีพลัง อยากจะพัฒนาตนเอง อยากจะพัฒนาระบบบริการ และอยากจะพัฒนาชุมชนที่ตนเองดูแลอยู่ต่อไปอีก”

“ถ้าคนหน้างาน primary care มีทักษะการประสานงานที่ดี อย่างน้อยเขาจะไปคุยกับทีมงาน โรงพยาบาลอำเภอที่ต้องทำงานควบคู่ไปด้วยกันได้ เผลอ ๆ อาจจะสามารถนำกระบวนการที่ออกแบบไปคุยกับแกนนำของโรงพยาบาลจังหวัด ที่ทำหน้าที่เป็นปลายทางของระบบบริการได้ เช่น เขาอยากจะคุยปัญหาเรื่องการดูแลคนไข้เป็นโรคไตเรื้อรังในชุมชน ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลจังหวัด ทำยังไงให้มันเกิดวงสนทนาเดียวกัน แล้วระบบการดูแลตั้งแต่โรงพยาบาลจังหวัด ยาวลงมาถึงชุมชนเลย”

“เพราะตอนนี้ถูกคิดในโรงพยาบาลจังหวัดแล้วส่งต่อให้โรงพยาบาลอำเภอ หรือร่วมกันคิดออกแบบ แล้วส่งต่อรายละเอียดให้ รพ.สต. ทำหน้าที่ดำเนินการกับคนไข้ในมุมของการรักษาตามที่วางไว้จากปลายทาง ทั้ง ๆ ที่หลายปัญหาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงปัญหาของตัวโรค แต่ยังมีปัญหาใหญ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของครอบครัวผู้ป่วยและวิถีชีวิตในชุมชน ซึ่งคนที่เข้าใจปัญหาเหล่านี้มากที่สุดคือบุคลากรที่อยู่ใน primary care ก็เลยปรึกษาอาจารย์นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะ mentor หลักประจำตัวของผม ว่าวิธีนี้น่าสนใจและน่าจะพอเป็นไปได้

“อาจารย์จึงบอกว่า ขอตั้งชื่อให้เรียกง่าย ๆ ว่า ผอบ. (ผู้ประสานการออกแบบบริการสุขภาพ) ก็แล้วกัน ซึ่งเราตั้งใจจะให้เกิดการทำงานแบบใหม่ก่อน แล้วบริการใหม่จะเกิดขึ้นตามมาเอง”

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการนำ ‘Design Thinking’ เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเป็น ‘แนวคิดและเครื่องมือ’ โดยคุณเมษ์ ศรีพัฒนาสกุล CEO บริษัท LUKKID ได้เข้ามาให้การช่วยสนับสนุนด้านแนวคิดและฝึกทักษะให้บุคลากร primary care แต่ละพื้นที่ได้นำไปปรับใช้กับการออกแบบการประสานงาน และการออกแบบแนวทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยและประชาชนในแบบของทีมตัวเอง เพราะแต่ละพื้นที่ต่างก็มีปัญหาและบริบทที่แตกต่างกันออกไป โดยจัดกระบวนผ่านโครงการพัฒนาผู้ประสานออกแบบบริการสุขภาพ (ผอบ.) ในโครงการวิจัยการออกแบบระบบบริการสุขภาพในหน่วยบริการปฐมภูมิภายใต้สถานการณ์ Covid-19 : กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ซึ่งสนับสนุนโดยสถาบันวิจัยระบบสุขภาพ(สวรส.)และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ(มสช.)

Press enter or click to view image in full size

แม้จะเป็นการเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แต่เขาก็เชื่อว่าจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี้จะสร้างแรงกระเพื่อมไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย

“บุคลากรสุขภาพด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใด ระดับใด ก็ควรมองว่าอยู่บนเรือลำเดียวกัน เพียงแต่อยู่คนละส่วน เราไม่สามารถให้คนไปเทอยู่ที่หัวเรือได้หมด เราให้ทุกคนทำหน้าที่ต่างกัน เรือจะได้ไปถึงเป้าหมายและไม่จมระหว่างทางเสียก่อน”

“ขณะเดียวกันคนที่อยู่หน้างาน primary care ในช่วงที่ผ่านมาอาจจะชินกับการถูกสั่งการมาจนลืมว่าจริง ๆ แล้ว เราก็สามารถจัดการได้ ออกแบบได้นะ เราก็มีความเก่งนะ พอถึงเวลาก็ควรจะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่มันเป็นโอกาสของเรา ไม่ได้ไปแข่งกับใคร แต่ให้คนเห็นว่าเราก็มีตัวตน มีที่ยืน ทำได้นะ ส่วนประชาชน เราก็ควรมีระบบ มีการสร้างการรับรู้ของสังคมไปด้วยว่าเขาสามารถดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วยได้ เพื่อให้การพึ่งพาตนเองกับพึ่งพิงระบบบริการเกิดความสมดุลกัน”

เพราะมองเห็นความเป็นไปได้

แม้ว่าการพัฒนาระบบ primary care จะไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลานาน แต่หมออาลียังคงมุ่งมั่นจะสานต่อความฝัน เพราะเขาเห็น ‘ความเป็นไปได้’ จากการได้เริ่มลงมือทำในโครงการนี้

“ทั้งคอนเนคชัน ทั้งโอกาส การสนับสนุนมันทำให้สิ่งที่เราคิด มันเป็นจริงได้ แล้วรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ มันก็เกิดขึ้นได้ และสำหรับอาจารย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ไม่เคยมีคำว่า ‘แต่’ อาจารย์จะมีคำว่า ‘ต่อ’ อยู่เสมอ คือชวนผม challenge ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ อยู่ที่ผมว่าไหวหรือไม่ไหว เอาด้วยหรือไม่”

“การสนับสนุนเวลาของผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์หลาย ๆ ท่าน อย่างช่วงต้นของ program มี อาจารย์ ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ชวนให้ความเห็น ความรู้เกี่ยวกับ primary care ในมิติต่าง ๆ อย่างน่าสนใจจนผมคิดว่า เราควรจะเรียก primary care ว่า ‘ระบบสุขภาพหลัก’ เสียด้วยซ้ำ อาจารย์ยังได้ให้กำลังใจในการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ยากแต่คุ้มที่จะลงมือทำอย่างเช่น project นี้

อาจารย์ นพ. อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ผู้ทรงคุณวุฒิและอดีตผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล(สรพ.) เป็นอาจารย์อีกท่านที่คอยให้คำแนะนำในมุมมองสำคัญของกระบวนการดูแลผู้ป่วยในระหว่างการเริ่มต้นพัฒนา project นี้ รวมถึงอาจารย์ ดร.นพ.ปิยะ หาญวรวงศ์ชัย เลขาธิการมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ที่คอยสนับสนุนให้การดำเนินโครงการวิจัยสามารถเดินหน้าอย่างราบรื่น

Press enter or click to view image in full size

การมีทีมงานดี ๆ ที่ช่วยให้ผมเข้าถึงและเข้าใจเงื่อนไขในชีวิตของคนไข้มากขึ้น ช่วยทำกระบวนการสื่อสารให้ง่ายขึ้น อย่างทีม Rise Impact และทีมสนับสนุนของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ซึ่งนำโดยพี่สุทธิกานต์ ชุณห์สุทธิวัฒน์ ช่วยสะท้อนแง่มุมต่าง ๆ ให้ผมทำงานง่ายขึ้น เป็นการสนับสนุนเชิงกระบวนการคิด และช่องทางสนับสนุนต่าง ๆ เพื่อพัฒนา project ตลอดจนการหาโอกาสเข้าไปปรึกษาหารือกับอาจารย์ผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่ผมเองไม่สามารถทำได้ง่ายนัก ในฐานะหมอภูธรจากชายแดนใต้”

“ผมเชื่อว่าเรามีชีวิตอยู่ บนโลกนี้เพื่อทำหน้าที่บางอย่าง เพราะฉะนั้นเราก็จงทำหน้าที่ตรงนั้นให้ได้ประโยชน์กับประชาชาติมากที่สุด อย่างเต็มความสามารถของเรา การได้มาทำสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ได้เป็นพระเอกในการแก้ไขปัญหา แต่ได้พาโอกาสมาให้คนอื่นต่อ ผมได้เป็นตัวเชื่อมโอกาสให้ทีมงาน ให้น้อง ๆ แพทย์รุ่นต่อ ๆ ไปได้โตขึ้น ซึ่งผมก็ดีใจไปด้วย”

แม้ว่าหนทางการพัฒนา primary care ยังคงดำเนินต่อไปอีกยาวไกลและดูเหมือนจะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ ‘ทุกคน’ สามารถช่วยกันลงมือทำเพื่อผลักดันการพัฒนาระบบ primary care ในประเทศไทยได้ คือการดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เพราะ ‘หมอประจำตัว’ ที่รู้จักร่างกายของเรามากที่สุด ก็คือตัวเราเอง

เขียนบทความโดย : ขนุน ธัญญารัตน์ โคตรวันทา

ติดตามการพัฒนาระบบสุขภาพ และโครงการ Positive Health Disruptor ได้ที่
website : https://nhffellowship.wixsite.com/positive-disruptor
facebook : https://www.facebook.com/PositiveHealthDisruptor

--

--

No responses yet